Sunday 14 October 2012

โฮมสเตย์ชุมชนแสนตอ - ความสงบสยบทุกสิ่ง

พักกายผ่อนใจ

เบื่อแฟชั่นวีกเป็นอย่างมาก.....ทำไมน่ะเหรอ 
เพราะว่าเมื่อถึงช่วงนี้ ทุกนางก็ต้องมาประชันกันว่าใครได้บัตรบ้าง
ต่อมาได้บัตรแล้วใครได้นั่งตรงไหนส่วนไหนของโชว์
จากนั้นต้องมานั่งดูดี แก่งแย่งความเด่น แก่งแย่งจุดที่นั่งชมชิงความเก๋ไก๋กว่าใคร

เบื่อ.....เบื่อการอยู่ในวังวนแบบนี้มาเป็นเวลานาน
ไม่ใช่ว่าเบื่อแฟชั่น
แต่ว่าเบื่ออ้ายอีลูกเล็กเด็กน้อยทั้งหลายที่พยายามเหลือเกินที่จะถูกเรียกว่าคนแฟชั่น

คุยเรื่องนี้กันกับกลุ่มเพื่อนปาร์ตี้ซึ่งถือว่าเมามันส์และเมามายมาด้วยกันจนสนิทชิดเชื้อ
เมื่อเม้ากันจนเพลินใจแล้ว เพื่อนหนึ่งนางก็เปิดประเด็นเอ่ยปากชักชวนให้ไปเที่ยวโฮมสเตย์ป่าโกงกาง
ซึ่งทุกคนที่ได้ยินก็เห็นดีด้วยในทันที
เพราะคนที่เอ่ยปากชวนนั้นเป็นถึงบรรณาธิการด้านไลฟ์สไตล์ประจำนิตยสารหัวใหญ่
ไม่มีคำว่าผิดหวังอยู่แล้วถ้าออกมาจากปากของเธอ
สิ้นเสียงคำชวนทุกคนก็กระจายตัวเป็นดราก้อนบอล แยกย้ายกันเตรียมตัวเพื่อเดินทางทันที

9โมงเช้าวันเสาร์ ก็ได้เวลาตามนัดหมาย
รวมแล้วนับได้ 4 ชีวิต แต่ละคนต่างก็หอบหิ้วสัมภาระกันกระโดดขึ้นรถกันทันที
เนื่องจากที่นี่ขับรถส่วนตัวถึงแน่นอนเพราะไม่ได้ไกลเลย การขับรถไปก็ดูเป็นการเดินทางที่ดีเลยเชียว

จุดหมายปลายทางในวันนี้และเป็นเรื่องที่กำลังจะเล่าสู่กันฟังต่อจากนี้นั่นคือ

"ชุมชนแสนตอ"

ตั้งตัวอยู่อย่างเงียบๆที่บางขุนเทียน เห็นไหมบอกแล้วว่าไม่ไกล
แต่หลายคนนึกภาพตามไม่ทัน มันอยู่ที่ไหนล่ะ
มันอยู่ที่พระราม2 แค่นี้นี่เอง เอาให้ชัดคือมันยังอยู่ที่กรุงเทพฯนี่ล่ะ

ขับรถขึ้นทางด่วนลงดาวคะนอง มุ่งหน้าสู่ทางออกคำว่าสมุทรสาคร
วิ่งตรงไปตามทางเรื่อยๆไม่นานก็เบี่ยงออกทางคู่ขนานก่อนถึงเทสโก้โลตัส พระราม2
ก็จะเห็นป้ายใหญ่มาก ใหญ่มากจริงๆนะ เขียนว่า "ฝูงลิงแสม"
เลี้ยวซ้ายวิ่งเข้าไปเลย แต่เผอิญไม่ได้สนใจจะไปดูลิงแต่ป้ายมันน่าสังเกตุจริงๆ

ถนนที่วิ่งอยู่นี้เรียกว่า เทียนทะเล 
วิ่งไปเรื่อยๆขึ้นสะพานลงสะพานจากทาง4เลนเหลือแค่2เลน
จากทางเรียบลื่นวิ่งง่ายสบายใจ กลายเป็นทางขรุขระเป็นหลุ่มเป็นบ่อลำบากกาย
แต่อย่าไปกลัว ก็คิดอยู่แล้วว่าจะไปพักผ่อนตามอัธยาศัย ก็ต้องอย่าหยุดยั้ง

วิ่งไปจนสุดทางที่ตรงต่อไปไม่ได้แล้ว สามแยกนี้ถ้าเลี้ยวขวาก็จะมุ่งหน้าไปศาลพันท้ายนรสิงห์
เอาสิมาถึงขั้นนี้แล้วก็ถือโอกาสเที่ยวกันซะเลย
เลี้ยวขวาเลยทันที
ขับไปไม่นานกลายเป็นเห็นป้ายจุดชมโลมาศาลมัจฉานุ
คำว่าพันท้ายนรสิงห์หายไปจากสมองของทุกนางทันที
เลี้ยวรถวิ่งเข้าไปดูโลมาดีกว่า ดูสวยใสรักโลกดี

เมื่อถึงจุดชมโลมาแล้ว เราก็ได้สัมผัสกับแสงแดดและเกลียวคลื่น
มีความสวยงามตามท้องเรื่อง
แต่แสงแดดที่ว่านี้มันไม่ธรรมดานะ 
ออกมายืนแป๊บเดียวอยากจะไปเข้าคอร์สรักษาฝ้ากันเลยว่ะ
แดดอะไรมันจะแรงขนาดนี้ กูจะบ้า

สืบถามใจความจากคุณลุงที่ขายกาแฟตรงนั้นก็ได้เรื่องว่า
ช่วงนี้ไม่มีโลมาหรอกเพราะว่าฝนตกน้ำไม่ดี
คำว่าน้ำไม่ดีไม่ใช่น้ำเสียนะ แต่ปลาเล็กปลาน้อยที่เป็นอาหารของโลมามันไม่มี
พอไม่มีอาหาร โลมาก็เลยไม่ว่ายน้ำเดินทางมาตรงนี้
ถ้าอยากเห็นก็ต้องใช้บริการของร้านอาหารที่จะพาลงเรือไปดูโลมาที่กลางทะเล
อย่างนั้นล่ะเห็นชัวร์
แต่ทุกผู้ทุกนางกินข้าวมาแล้วไง จะกินอีกมื้อเพื่อดูโลมาก็ดูเป็นการขี่ช้างจับตั๊กแตนไปหน่อย
คุยกันไปเดินกันมาก็เลยจบลงที่ศาลเจ้าพ่อมัจฉานุ
ไหว้ศาลไหว้เจ้ากันแล้ว ด้วยความเป็นคนไทยจริงๆ เสี่ยงเซียมซีกันสักหน่อยนะ
เสร็จกิจกรรมตรงนั้นแล้วก็ขึ้นรถเดินทางกันต่อดีกว่า


ย้อนกลับไปตามทางเดิม (ถ้าวิ่งมาจากเทียนทะเลก็คือ เจอแยกแล้วเลี้ยวซ้ายนั่นล่ะ)
วิ่งไปเรื่อยๆก็เริ่มเห็นไม้น้ำกร่อยกันแล้ว ดูอุ่นใจว่ามาไม่พลาดแน่
ระหว่างทางก็โทรแจ้งให้ลุงมารับ 
ร้านอาหารทะเลมีขึ้นอยู่เรื่อยๆ หันไปมองมาก็เจอร้านกาแฟเฉยเลย
ด้วยความเป็นนักท่องเที่ยวก็เลยแวะจิบกาแฟร้อนเย็นกันตามใจชอบ 
ไม่มีการเร่งรีบอยู่แล้วเพราะเรามาพักผ่อนนะ


ร้านกาแฟกับท่าเรือที่ลุงมารอรับอยู่ติดกันเฉยเลย
รู้สึกตัวแป๊บเดียวก็เห็นลุงมายืนรอรับละ
เอารถเข้าไปฝากจอดที่ท่าเรือ คืนละ 20 บาท
ซึ่งที่นี่เป็นปั๊มน้ำมันด้วย

ขนข้าวของที่เราซื้อมาล่วงหน้าขึ้นเรือกันสุดตัว
นี่แค่ไปค้างหนึ่งคืนเท่านั้นนะ
ไม่นานทุกนางก็อยู่บนเรือ มุ่งหน้าเข้าสู่ชุมชนแสนตอ


ชุนชนนี้ไม่ได้มีตอเป็นแสน
แต่เดิมทีแถวนี้เรียกว่า สันตอ
เนื่องมาจากตอไม้ที่ล้มอยู่เต็มคลองทับถมกันจนเป็นสัน 
เยอะขนาดเวลาน้ำลดตอก็ผุดกันให้เห็นจริงๆแบบไม่ต้องเล่นสุภาษิต
พอพูดกันไปเรียกกันมาก็กลายเป็นคำว่า แสนตอ อย่างทุกวันนี้



บ้านที่เราไปพักกันครั้งนี้เป็นของ ลุงสอน พึ่งสาย ซึ่งเป็นหัวหน้าชุมชน
และคู่ชีวิตชื่อ ป้าเอื้อน ซึ่งเป็นเหรัญญิกชุมชน
2 คนผัวเมียก็รับบทเจ้าของบ้านกันไป


ลุงบอกว่าแรกเริ่มเดิมทีก็ไม่ได้คิดว่าจะเปิดบ้านให้คนมานอนพัก
แต่พอมีนักท่องเที่ยวขอมากางเต็นท์นอนตอนมาเที่ยวชมธรรมชาติเพิ่มจำนวนมากขึ้นเรื่อยๆ
ก็เลยตัดสินใจเปิดบ้าน เริ่มทำโฮมสเตย์เมื่อกว่าสิบปีที่แล้วจนถึงวันนี้


โฮมสเตย์ของลุงสายนี่เรียกว่าใกล้ชิดธรรมชาติและสัมผัสกับความเป็นชาวบ้านมากจริงๆ
โดยรวมแล้วไม่มีอะไรทำเลย เรียกว่าต้องขอทำอาหารกินกันเอง เพื่อที่จะหาอะไรทำ
ป้าเอื้อนก็จัดเตรียมกุ้ง ปู และหอยแครง เตรียมไว้ให้ตามที่เราได้แจ้งไว้ก่อนเดินทาง
ทำไมต้องหอยแครง เพราะที่นี่เป็นสถานที่ท่องเที่ยวเชิงเกษตรแบบประมง
ลุงสอนทำฟาร์มขายหอยแครงมาเป็นอาชีพหลักมานานแล้ว
กรุณาอย่าดูถูกผู้ประกอบอาชีพแบบนี้
เพราะในปีนี้ลุงสอนหารายได้จากการขายหอยแครงเป็นเลขเจ็ดหลักแล้วนะ


แต่ถ้าอยากหาอะไรทำจริงๆแล้วล่ะก็ลุงสายก็มีเรือคายักมาเตรียมไว้ให้พายเล่น
หรือชูชีพที่เอาไว้ให้ว่ายน้ำคลองกันจ๋อมแจ๋ม
แต่สำหรับพวกเรา การพักผ่อนแบบไม่ทำอะไรเลยเป็นสิ่งที่ต้องการที่สุด
จุดเตาเผากุ้งดีกว่า

ตกเย็นก็อาบน้ำตุ่ม ดื่มน้ำฝน เรียกว่าใช้ห้องหับข้าวของแบบเดียวกันกับที่ลุงสายกินอยู่เลยล่ะ
มากินอยู่แบบชาวบ้านอย่างนี้อย่าคิดว่าจะต้องทำตัวลำบากตามกันไป
เพราะแน่นอนตามประสาคนเมืองผู้รักการปาร์ตี้ วิสกี้และเหล้ารัมก็ถูกเตรียมติดกระเป๋าไปอย่างพร้อมเพรียง
แต่ทุกอย่างก็ต้องกินดื่มกันอย่างเงียบๆเรียบร้อยเพราะสภาพแวดล้อมรอบข้างเงียบเชียบมาก
ความเป็นผู้ดีเกรงใจเจ้าของบ้านก็มีอย่างเต็มอก ทุกคนก็เลยเน้นไปทางพูดคุยกันมากกว่า


ตอนเช้าเสียงฝนเป็นนาฬิกาปลุกตามธรรมชาติ 
แต่ถ้ายังไม่ตื่นอีกล่ะก็เสียงหอยแครงที่ลุงขายให้กับคนที่เอาเรือมารับก็เป็นนาฬิกาปลุกอย่างดัง
เสียงเหมือนคนเอาหินมาลงตามไซท์ก่อสร้างยังไงยังงั้น


ทุกคนตื่นกันอย่างเต็มตา อากาศดีเต็มปอด


ได้ประสบการณ์นอนมุ้งอีกด้วย
หลายต่อหลายคนอาจจะยังไม่เคยกางมุ้งเลยด้วยซ้ำไป

มื้อเช้าก็ถูกเตรียมไว้แล้ว โกโก้ร้อนและกาแฟสำเร็จรูปแบบซองก็จัดไว้ให้
ข้าวต้มหมูกุ้งก็อยู่ในหม้อพร้อมกิน
อิ่มแล้วก็ล้างถ้วยล้างจานชามช้อนส้อมให้เรียบร้อย
เรียกว่าใครกินอะไรใช้อะไรก็ล้างอันนั้นน่ะล่ะ

สายมากแล้วก็เตรียมตัวลงเรือกลับบ้าน

การสวมบทบาทนักท่องเที่ยวในครั้งนี้เราได้เห็นสิ่งที่ไม่เคยเห็น เช่น ต้นตะบูน ออกลูกหน้าตาคล้ายกระท้อนแต่กินไม่ได้

ได้กินสิ่งที่ไม่เคยกิน เช่น ใบชะคราม หน้าตาเหมือนชะอมแต่ไม่มีกลิ่น ใบสดรสเหมือนใบมะขาม อมเปรี้ยวอมฝาด
ได้รู้สิ่งที่ไม่เคยรู้ เช่น คนที่มาพักไม่ได้มีแต่คนโตผู้ใหญ่เท่านั้น เด็กรุ่นใหม่ๆตามมหาวิทยาลัยต่างๆก็มาเหมือนกัน
ซึ่งไม่ใช่มหาลัยไกลปืนเที่ยงไก่กาบ้านนอกที่ไหนด้วย เพราะเป็นนิสิตจุฬา นักศึกษาธรรมศาสตร์กันทั้งนั้นที่มาพักอยู่ในโฮมสเตย์หลังนี้
นักท่องเที่ยวคนไทยยังไม่พอ ชาวต่างชาติจากออสเตรเลียหรือแม้แต่นอร์เวย์ก็เดินทางมาฝากผีฝากไข้ไกลถึงที่นี่เหมือนกัน

นับว่านี่เป็นการพักผ่อนท่องเที่ยวตามอัธยาศัยกับเพื่อนฝูงที่สนุกกายสบายใจใกล้ชิดติดธรรมชาติได้ดีเป็นที่สุดเลยทีเดียว





No comments:

Post a Comment