Tuesday 2 October 2012

เมื่อสิ่งนี้มี สิ่งนี้จึงมี เมื่อสิ่งนี้ไม่มี สิ่งนี้ย่อมไม่มี


วันนี้ได้เปิดเฟซบุคผ่านๆ เพื่อที่จะอัพเดทความเป็นไปในชีวิตของเพื่อนๆ พอดีเจอลิงก์สัมภาษณ์พระเจสัน จากรายการทีวีรายการหนึ่ง เนื้อหาส่วนใหญ่พูดถึงเรื่องพลังจิตที่เกิดจากสมาธิ พลังจิตในที่นี้ไม่ได้หมายถึงพลังจิตอย่างที่เราๆ เข้าใจกันทั่วไป ประเภทงอช้อน งอส้อมได้อะไรเทือกนั้น แต่เป็นพลังของจิตที่รวมลงเป็นสมาธิเพื่อที่จะนำไปสู่วิปัสนาอีกทีหนึ่ง 

เนื้อหาที่สะดุดใจไม่ได้เกี่ยวกับพลังจิตแต่อย่างใด แต่กลับเป็นตอนที่พระเจสันให้สัมภาษณ์ว่า การทำสมาธิก็เหมือนการออมทรัพย์ ต้องปฏิบัติสะสมไว้ เหมือนคนทั่วๆ ไปที่อยากมีบ้าน มีรถ แต่ไม่มีทรัพย์ก็ได้แต่คิด ปฏิบัติสมาธิก็เหมือนกันถ้าจิตยังไม่มีพลังแล้วไปคิดถึง วิปัสนา คิดไปขั้นนู้นขั้นนี้ แบบนี้มันก็ฟุ้งซ่าน เป็นบ้าละ

ได้ฟังถึงตรงนี้ก็นึกถึงหัวใจหลักที่สำคัญอันหนึ่งของพุทธศาสนาก็คือเรื่องเหตุและผล มีกฎอยู่อันหนึ่งมีชื่อเรียกในภาษาบาลีว่า "อิทัปปัจจยตา" แปลความหมายได้คร่าวๆ ว่าเมื่อสิ่งนี้มี สิ่งนี้จึงมี เมื่อสิ่งนี้ไม่มี สิ่งนี้ย่อมไม่มี ดูแล้วออกจะงงๆ ว่าสิ่งนี้ๆ คืออะไร ที่จริงก็ไม่มีอะไรมากไปกว่าการแสดงว่าทุกสิ่งทุกอย่างที่เกิดขึ้นล้วนแล้วแต่มีเหตุ ฟังดูเหมือนกำปั้นทุบดินนะ ว่าพุทธศาสนาเล่นง่ายจังที่สอนว่าถ้าไม่ทำเหตุผลก็ไม่เกิด 

กฎง่ายๆ ตายตัวที่คนร้อยทั้งร้อยจะต้องบอกว่ารู้อยู่แล้ว ไม่ต้องมาสอนให้เมื่อย แต่ถ้าลองย้อนกลับไปดูที่พระเจสันใหัสัมภาษณ์ ถ้าไม่ทำงาน มัวแต่พูดว่าอยากได้นั่นอยากได้นี่ แล้วมันจะมีได้อย่างไร  หรือถ้าปากบอกว่าอยากจะเป็นคนดีแต่หมั่นทำแต่ความชั่วแล้วมันจะเป็นคนดีได้อย่างไร  ถ้าไม่ตั้งใจเรียนอ่านหนังสือแล้วผลสอบมันจะออกมาดีได้หรือ?

คนเรามักจะอยากได้นั่นอยากได้นี่แต่ไม่คิดจะทำเหตุหรือบางทีก็มักจะทำอะไรที่ตรงกันข้ามกันไปเลยก็มี ถ้าใครที่เป็นแบบนี้ขอเตือนไว้ว่าคุณกำลังฟุ้งซ่านและกำลังจะเป็นบ้านะ 


No comments:

Post a Comment