Saturday 20 October 2012

Fame - กลิ่นเกียรติยศ


คันธนีราสีดำ

ศิลปินดาราคนดังหลายต่อหลายคนได้ทำธุรกิจต่อยอดจากความสำเร็จของตนเองมาอย่างมากมาย
หนึ่งในสินค้าที่บรรดาเหล่าผู้มีชื่อเสียงนิยมชมชอบที่จะทำมากที่สุดนั่นคือน้ำหอม
ทำไมเหรอ? เพราะว่าเหล่าบรรดาสาวกแฟนคลับทั้งหลายสามารถจับต้องและจับจองได้ง่ายน่ะสิ
คนดังเหล่านั้นก็รวมไปถึงเธอคนนี้ด้วย

Lady Gaga

ผู้หญิงที่มีความแปลกแหวกแนวจากธรรมเนียมปฏิบัติเป็นจุดขายหลักของเธอ

FAME

ชื่อสั้นๆเรียบๆง่ายๆไม่ยุ่งยาก 
ทำไมดูไม่สมกับเป็นนางเลยล่ะ
เพราะนางเก็บความเก๋ไว้อยู่ตรงสีของน้ำหอม
น้ำหอมขวดนี้สีดำสนิท ไม่ใช่ขวดสีดำนะแต่เป็นตัวน้ำหอมเองที่เป็นสีดำ
ถ้าอยากได้น้ำหอมขวดสีดำก็เชิญซื้อ Drakka Noir ของ Guy Laroche ไปก่อนละกัน

น้ำหอมที่เป็นสีดำแบบนี้ไม่ทำให้เกิดรอยด่างดำให้กังวลใจ
เพราะมันจะไม่มีสีเมื่อสัมผัสกับอากาศ 
หมดกังวลสำหรับคนที่ชอบฉีดน้ำหอมลงบนเสื้อผ้า

ด้วยนวัตกรรมอันใหม่ล่าสุดที่เรียกว่า "push-pull technology"
ทำให้น้ำหอมขวดนี้ไม่ได้แสดงกลิ่นออกมาเหมือนน้ำหอมทั่วๆไป
นั่นคือกลิ่นไม่ได้เรียงลำดับเป็นปิรามิดเหมือนน้ำหอมดาษดื่นเกลื่อนกลาด
พูดง่ายๆว่ามันไม่มีกลิ่น top, middle, base เหมือนคนอื่นๆ
แต่น้ำหอมจะแสดงกลิ่นของส่วนผสมออกมาพร้อมกันหมดในคราวเดียวกัน
นั่นทำให้น้ำหอมขวดนี้ไม่เปลี่ยนกลิ่นนั่นเอง

ส่วนผสมของกลิ่นที่เกิดขึ้นประกอบไปด้วย
Dark ซึ่งได้จากต้น Belladonna (พืชที่ถูกสกัดมาทำยา เครื่องสำอางค์ และยาพิษ!!)
Sensual มาจากน้ำผึ้ง, หญ้าฝรั่น, และผลแอปปริคอต
Light กลิ่นจาก ว่านเพชรหึง (กล้วยไม้ที่ใหญ่ที่สุดในโลก), และดอกมะลิ

ผลรวมที่ได้คือน้ำหอมที่มีกลิ่นหวานๆเย็นๆตลอดชีวิตของมัน ซึ่งเป็นกลิ่นที่ส่วนตัวแล้วไม่ชอบไง
แต่กลับมาชอบคำอธิบายมากกว่า เพราะกาก้าได้บอกว่ากลิ่นมันให้ความรู้สึกเหมือน "โสเภณีชั้นสูง" 

แน่นอนว่าขวดน้ำหอมแปลกๆแบบนี้ถูกออกแบบโดยกาก้าและช่างภาพแฟชั่นชาวอังกฤษ Nick Knight

แต่พอดูแล้วก็แอบคิดถึงขวด Alien ของ Thierry Mugler อย่างเลี่ยงไม่ได้
และจากการตั้งวางของขวดก็นึกถึงขวดน้ำยาวิเศษจากภาพยนตร์ยุค 1990's อย่าง Death Becomes Her อีกด้วย

ทั้งนี้ทั้งนั้นใครใคร่อยากจะจับจองเป็นเจ้าของน้ำหอมสีดำขวดนี้ก็ไม่ยาก
30 ml. 1,600 บาท
50 ml. 2,100 บาท
100 ml. 3,100 บาท
วางจำหน่ายแล้วที่ห้างแถวบ้านทั่วไป

ท้ายสุดขอแถมภาพยนตร์โปรโมทน้ำหอมกลิ่นนี้กันหน่อย
กำกับโดย Steven Klein ที่เคยร่วมงานกับเธอมาแล้วใน MV "Alejadro"


ดูแล้วให้ความรู้สึกอึดอัดไม่ใช่น้อย

Thursday 18 October 2012

aLL six to Twelve เช้าถึงค่ำ อร่อยตลอดวัน


aLL six to Twelve ร้านอาหารชื่อเก๋ที่ซ่อนตัวอยู่ท่ามกลางความวุ่นวายของเมืองใหญ่ ภายในบรรยากาศตกแต่งแบบ นิวยอร์กลอฟท์ ด้วยตัวอาคารเพดานสูงโปร่งโล่ง หน้าต่างเบย์วินโดว์บานสูง ปล่อยให้แสงจากภายนอกเข้ามาอย่างเต็มที่ ประดับด้วยโคมไฟ เปิดผนังให้เห็นอิฐแบบดิบ เท่ ปูนเปลือย แต่ตัดความแข็งให้อ่อนโยนด้วยดอกไม้ที่ประดับตามจุดต่างๆ และโต๊ะยาวที่วางดอกไม้ในขวดแก้วไว้เต็มโต๊ะ 

บรรยากาศร้านสไตล์นิวยอร์กลอฟท์

ผนังอีกด้านหนึ่งปูไว้ด้วยภาพถ่ายที่ทำให้บรรยากาศร้านดูเคลื่อนไหว มีชีวิตชีวา จุดเด่นของการแต่งร้านอีกอย่างหนึ่งคือ ที่นี้ไม่มีผ้าปูโต๊ะ แต่จะใช้กระดาษที่คุณสามารถเขียน จดบันทึก ทำงาน แล้วขอทางร้านพับกลับบ้านได้เลย 

ภาพถ่ายที่เล่าเรื่องราว

ดอกไม้ที่เปลี่ยนความแข็งให้เป็นความอ่อนโยน

พิชซ่ามาการิต้าชีสแบบเต็มที่
แบล็กโมฮีโต้
อาหารรสชาติเยี่ยมถูกเสริฟ์ตั้งแต่ 6โมงเช้าเป็น บัพเฟต์อาหารเช้าที่น่าตื่นตาตื่นใจ ส่วนอาหารจานเด็ดก็มีมากมายไม่ว่าจะเป็นอาหารรับประทานง่ายๆ สบายๆ อย่างพิชซ่า สลัด หรือ เบอร์เกอร์ อาหารรสชาติจัดจ้าน อิ่มท้อง รสอร่อย และสดใหม่ก้มีให้เลือกชิมมากมาย อย่าง ลาบแคบหมู สเต็กไก่สมุนไพร สปาเกตตี้เส้นดำขี้เมาสเกลลอป อาหารทุกจานสดใหม่ อร่อย พอตกดึงทางร้านก็แปลงบรรยากาศให้คึกคักเหมาะแก่การสังสรรค์ พร้อมเครื่องดื่มให้เลือกมากมาย อิ่มท้อง ประทับใจ และแสนสบายกับบรรยากาศ ที่เปลี่ยนแปลงไปตลอดตั้งแต่เช้า ถึง ค่ำ 
ฮันนี่ฟิซ

สปาเกตตี้เส้นดำผัดขี้เมาสแกลลอป


ร้านaLL six to Twelve ดิ เออบาน่า หลังสวน สำรองที่นั่งได้ที่ โทร. 02-250-6799

Karl Lagerfeld for shu uemura


เมื่อสองผู้ทรงอิทธิพลในด้านบิวตี้และแฟชั่นมานั่งโต๊ะคิดงานด้วยกัน อุ!!! แม่เจ้า จะเกิดอะไรขึ้น
ป้าคาร์ลแห่ง CHANEL และ ลุงชูแห่ง shu uemura เกิดอยากสร้างคอเลคชั่นร่วมกันเรียกได้ว่าเป็นการ Collaboration ที่เรามักจะเห็นกันบ่อยๆ ว่าสองยักษ์ใหญ่ผู้ทรงอิทธิพลมักจะมาฟีเจอริ่งกัน



 mon shu girl
คือผลงานการสร้างสรรค์ของลาเกอร์เฟลด์โดยการนำเอาวัฒนธรรมโบราณและศิลปะร่วมสมัยของญี่ปุ่นแต่ไม่ลืมถ่ายทอดตัวตนของเขาลงไปโดยการใช้เสื้อเชิ๊ตขาวและเทคไทดำอันเป็นเอกลักษณ์ของเขา
เขานำเอาสีสันของ shu uemura มาสร้างสรรค์ mon shu girl สำหรับการออกแบบบรรจุภัณฑ์ โดยภาพวาดของเขาจะถูกประดับไว้ที่ผลิตภัณฑ์ทุกชิ้นในคอเลคชั่นนี้ 


ผลิตภัณฑ์ใน Holiday Collection ที่มาพร้อมกับสีสันสุดบรรเจิดที่ ป้าคาร์ลเป็นคนเลือกเฟ้นเองกับมือ 




 พาเลตต์อายชาว์โดว์สีสวยที่สามารถใช้เดี่ยวหรือผสมสีตามต้องการ
 ปลอกลิบสติกแท่งนี้น่ารักน่าหยอก
 ลายเซ็นSUKLที่สื่อถึง shu uemura และ Karl Lagerfeldนั้นตอกย้ำถึงความพิเศษมากขึ้นของคอเลคชั่นนี้

นับว่าเป็นของขวัญคริสมาสและปีใหม่ที่รับรองว่าถูกใจผู้รับแน่นอน และเป็นของขวัญที่ป้าคาร์ลอยาก
มอบให้สาวๆ ทั่วโลกอีกด้วย รวมถึงผู้เขียนเองก็ได้รับของขวัญพิเศษชิ้นนี้ด้วยเหมือนกัน


Chanel No. 5 - Wherever I Go

คลี่คลายทุกความแคลงใจ

หลังจากที่ทาง Chanel ได้เปิดตัว Brad Pitt ในฐานะผู้บรรยายของน้ำหอม

Chanel No. 5

ไปแล้วอย่างเป็นทางการ และยังปล่อยภาพยนตร์โฆษณาชิ้นแรกออกมา
ซึ่งเนื้อเรื่องทั้งหมดถ่ายทำเป็นขาว-ดำ โดยมี Brad ยืนๆเดินๆพูดๆบรรยายสรรพคุณเชิงอุปมาของน้ำหอมขวดนี้
หลายต่อหลายคนก็ออกมาวิพากษ์บ้างวิจารณ์บ้าง
บ้างก็ว่าทำไมมันต้องทำให้อาร์ทแดกแบบนี้ด้วยวะ
บ้างก็บอกว่ามัน abstract เกินไป เหมือนแดกเนื้อวัว ย่อยยากเหลือเกิน
บ้างก็บอกว่าแล้วมันขายน้ำหอมช่วงไหน ดูแล้วไม่มีความอยากซื้อเกิดขึ้นในใจเท่าไหร่เลย
ซึ่งโดยส่วนตัวอย่างที่บอกก็คือ ดูแล้วไม่เหมือนที่คาดคิดนึกฝันไว้สักเท่าไหร่

และแล้วเมื่อวันที่ 17 ตุลาคม ที่ผ่านมา เวลาเที่ยงคืนหนึ่งนาที (ตามเวลากรุงปารีส)
ตอนที่สองของโฆษณาตัวนี้ก็ได้ถูกปล่อยออกมาให้ทุกผู้นางที่คลางใจได้ยลได้เห็นกัน


พอ Chanel ปล่อยตอนที่สองออกมา ทำให้เปล่งเสียงคำว่า "อ๋อออออ" ออกมาจากปากโดยไม่รู้ตัว
ที่ Chanel บอกว่า Brad เป็นผู้บรรยายไม่ใช่ตัวแทนสินค้ามันเป็นแบบนี้นี่เอง
ด้วยการกำกับที่ลงตัว การตัดต่อที่พอดิบพอดี และการถ่ายภาพที่สวยเหลือประมาณ
และอะไรต่อมิอะไรหลายสิ่งหลายอย่างที่มันออกมารวมๆกัน 
ทุกๆปัจจัยต่างออกมาส่งเสริมซึ่งกันและกัน
จนทำให้โฆษณาชิ้นนี้เป็นหนึ่งในโฆษณาที่น่าประทับใจที่สุดที่เคยดูมา

Joe Wright ผู้กำกับโฆษณาตัวนี้เอ่ยปากออกมาเลยว่า Brad ไม่ทำให้ผิดหวังจริงๆ
ซีนที่เขาชื่นชอบเป็นการส่วนตัวคือตอนที่เป็นภาพกว้างแล้วค่อยๆแคบเข้าจนเห็นหน้า Brad เต็มๆ
เขาบอกเลยว่า Brad เป็นมนุษย์ที่งามมาก หรือก็คือเป็นผู้ชายที่หล่อมากอ่ะแหละ
และเป็นนักแสดงที่พูดบทบรรยายอันนี้ได้เหมาะสมมากที่สุด เรียกว่าลงตัวจริงๆ

ก็พูดแบบง่ายๆไปเลยละกันว่าโฆษณาสวย
ก็จะไม่สวยได้ยังไงงบประมาณสร้างแคมเปญ No. 5ตัวนี้ เป็นจำนวนเงินประมาณ 300 ล้านบาท
ซึ่งอย่างที่บอกไปแล้วว่าค่าตัวของผู้บรรยายอย่าง Brad ก็ปาเข้าไป 70% ของงบแล้ว
บวกลบหารคูณคุณคงรู้ดี ว่าเขาได้เงินค่าพูดตามบทไปมากน้อยแค่ไหน

ดูโฆษณาชิ้นนี้แล้ว 
เริ่มอยากมาจับจองทดลองเป็นเจ้าของน้ำหอมขวดคลาสสิกที่มีกลิ่นหอมฟุ้งข้ามกาลเวลาขวดนี้แล้วใช่ไหมล่ะ

Monday 15 October 2012

Chanel No 5 - There you are

สิ้นสุดการรอคอย

หลายต่อหลายคนสนใจและตั้งหน้าตั้งตาใจจดใจจ่อกับพรีเซ็นเตอร์คนใหม่ของน้ำหอมขวดนี้

 Brad Pitt

หลายคนมองเห็นภาพ Brad ดูหรูหรางามสง่าแบบผู้ชายๆ
หลายคนเห็นภาพ Brad ใส่สูทหล่อเนี้ยบ
หลายคนเห็นภาพ Brad ด้วยโฉมหน้าเกลี้ยงเกลา ดึงเอาเสน่ห์ความหล่อออกมาล้วนๆ

สุดท้ายแล้วนี่คือภาพที่ออกมาสู่สายตามนุษย์แฟชั่นทุกผู้ทุกนาง



โดยทาง Chanel ไม่ได้เรียก Brad ว่าเป็นตัวแทน (Presenter) แต่กลับเรียกว่า ผู้บรรยาย (Spokesperson)
เอากันง่ายๆคือ Brad จะเป็นผู้บรรยายความน่ามหัศจรรย์ของน้ำหอมอายุกว่า9ทศวรรษขวดนี้นั่นเอง

มีข่าวลือว่าค่าบรรยายน้ำหอมขวดนี้ก็ไม่ธรรมดา 
Brad Pitt น่าจะได้รับเงินตอบแทนเป็นจำนวนเบาๆ 5.36 ล้านยูโร หรือประมาณ 213 ล้านกว่าบาท
ตายแล้วตายจริงตายห่าตายโหง เกิดเป็นมนุษย์หน้าตาดีมีผลงานคุณภาพมันหาเงินง่ายอย่างนี้นี่เอง

It's not a journey. 

Every journey ends, but we go on. 

The world turns and we turn with it. 

Plans disappear, dreams take over, but wherever I go, there you are: my luck; my fate; my fortune. 

Chanel No.5, inevitable.


สรุปใจความได้คร่าวๆว่า
นี่ไม่ใช่การเดินทาง การเดินทางยังมีที่สิ้นสุดแต่เรายังเดินต่อไป โลกเปลี่ยนเวียนหมุนเราก็หมุนตาม
อะไรมีเกิดก็มีดับ ความฝันเป็นจริงบ้างไม่เป็นจริงบ้าง แต่ไม่ว่าเราจะไปที่ไหนที่นั่นก็จะมีสิ่งหนึ่งรออยู่
เป็นทั้งโชคชะตา เป็นพรหมลิขิต เป็นเหมือนดั่งสมบัติ
แน่นอนที่สุดมันคือ Chanel No. 5 

ก็แบบว่าเป็นการบรรยายความสำเร็จอย่างสวยงามของน้ำหอมขวดนี้ได้แบบเรียบง่ายด้วยถ้อยคำที่สลับซับซ้อน
สะท้อนบุคลิกของน้ำหอมสีอำพันขวดนี้เป็นที่สุด
"ความซับซ้อนที่เรียบง่าย"


ภาพยนตร์โฆษณาตัวนี้ถ่ายทำเป็นสีขาว-ดำตลอดทั้งเรื่อง
กำกับโดย Joe Wright ผู้กำกับภาพยนตร์เรื่อง Atonement 
ถ่ายภาพโดยช่างกล้องหญิงสัญชาติอังกฤษ Sam Taylor-Jason 

โดยส่วนตัวแล้วเป็นโฆษณาที่ค่อนข้างเหนือความคาดหมายกว่าที่นึกเอาไว้เหมือนกัน
แต่เมื่อคิดสรตะแล้ว ทั้ง Chanel และ Brad Pitt ก็ไม่ได้ทำให้การรอคอยเปล่าประโยชน์เลยแม้แต่นิดเดียว

Sunday 14 October 2012

โฮมสเตย์ชุมชนแสนตอ - ความสงบสยบทุกสิ่ง

พักกายผ่อนใจ

เบื่อแฟชั่นวีกเป็นอย่างมาก.....ทำไมน่ะเหรอ 
เพราะว่าเมื่อถึงช่วงนี้ ทุกนางก็ต้องมาประชันกันว่าใครได้บัตรบ้าง
ต่อมาได้บัตรแล้วใครได้นั่งตรงไหนส่วนไหนของโชว์
จากนั้นต้องมานั่งดูดี แก่งแย่งความเด่น แก่งแย่งจุดที่นั่งชมชิงความเก๋ไก๋กว่าใคร

เบื่อ.....เบื่อการอยู่ในวังวนแบบนี้มาเป็นเวลานาน
ไม่ใช่ว่าเบื่อแฟชั่น
แต่ว่าเบื่ออ้ายอีลูกเล็กเด็กน้อยทั้งหลายที่พยายามเหลือเกินที่จะถูกเรียกว่าคนแฟชั่น

คุยเรื่องนี้กันกับกลุ่มเพื่อนปาร์ตี้ซึ่งถือว่าเมามันส์และเมามายมาด้วยกันจนสนิทชิดเชื้อ
เมื่อเม้ากันจนเพลินใจแล้ว เพื่อนหนึ่งนางก็เปิดประเด็นเอ่ยปากชักชวนให้ไปเที่ยวโฮมสเตย์ป่าโกงกาง
ซึ่งทุกคนที่ได้ยินก็เห็นดีด้วยในทันที
เพราะคนที่เอ่ยปากชวนนั้นเป็นถึงบรรณาธิการด้านไลฟ์สไตล์ประจำนิตยสารหัวใหญ่
ไม่มีคำว่าผิดหวังอยู่แล้วถ้าออกมาจากปากของเธอ
สิ้นเสียงคำชวนทุกคนก็กระจายตัวเป็นดราก้อนบอล แยกย้ายกันเตรียมตัวเพื่อเดินทางทันที

9โมงเช้าวันเสาร์ ก็ได้เวลาตามนัดหมาย
รวมแล้วนับได้ 4 ชีวิต แต่ละคนต่างก็หอบหิ้วสัมภาระกันกระโดดขึ้นรถกันทันที
เนื่องจากที่นี่ขับรถส่วนตัวถึงแน่นอนเพราะไม่ได้ไกลเลย การขับรถไปก็ดูเป็นการเดินทางที่ดีเลยเชียว

จุดหมายปลายทางในวันนี้และเป็นเรื่องที่กำลังจะเล่าสู่กันฟังต่อจากนี้นั่นคือ

"ชุมชนแสนตอ"

ตั้งตัวอยู่อย่างเงียบๆที่บางขุนเทียน เห็นไหมบอกแล้วว่าไม่ไกล
แต่หลายคนนึกภาพตามไม่ทัน มันอยู่ที่ไหนล่ะ
มันอยู่ที่พระราม2 แค่นี้นี่เอง เอาให้ชัดคือมันยังอยู่ที่กรุงเทพฯนี่ล่ะ

ขับรถขึ้นทางด่วนลงดาวคะนอง มุ่งหน้าสู่ทางออกคำว่าสมุทรสาคร
วิ่งตรงไปตามทางเรื่อยๆไม่นานก็เบี่ยงออกทางคู่ขนานก่อนถึงเทสโก้โลตัส พระราม2
ก็จะเห็นป้ายใหญ่มาก ใหญ่มากจริงๆนะ เขียนว่า "ฝูงลิงแสม"
เลี้ยวซ้ายวิ่งเข้าไปเลย แต่เผอิญไม่ได้สนใจจะไปดูลิงแต่ป้ายมันน่าสังเกตุจริงๆ

ถนนที่วิ่งอยู่นี้เรียกว่า เทียนทะเล 
วิ่งไปเรื่อยๆขึ้นสะพานลงสะพานจากทาง4เลนเหลือแค่2เลน
จากทางเรียบลื่นวิ่งง่ายสบายใจ กลายเป็นทางขรุขระเป็นหลุ่มเป็นบ่อลำบากกาย
แต่อย่าไปกลัว ก็คิดอยู่แล้วว่าจะไปพักผ่อนตามอัธยาศัย ก็ต้องอย่าหยุดยั้ง

วิ่งไปจนสุดทางที่ตรงต่อไปไม่ได้แล้ว สามแยกนี้ถ้าเลี้ยวขวาก็จะมุ่งหน้าไปศาลพันท้ายนรสิงห์
เอาสิมาถึงขั้นนี้แล้วก็ถือโอกาสเที่ยวกันซะเลย
เลี้ยวขวาเลยทันที
ขับไปไม่นานกลายเป็นเห็นป้ายจุดชมโลมาศาลมัจฉานุ
คำว่าพันท้ายนรสิงห์หายไปจากสมองของทุกนางทันที
เลี้ยวรถวิ่งเข้าไปดูโลมาดีกว่า ดูสวยใสรักโลกดี

เมื่อถึงจุดชมโลมาแล้ว เราก็ได้สัมผัสกับแสงแดดและเกลียวคลื่น
มีความสวยงามตามท้องเรื่อง
แต่แสงแดดที่ว่านี้มันไม่ธรรมดานะ 
ออกมายืนแป๊บเดียวอยากจะไปเข้าคอร์สรักษาฝ้ากันเลยว่ะ
แดดอะไรมันจะแรงขนาดนี้ กูจะบ้า

สืบถามใจความจากคุณลุงที่ขายกาแฟตรงนั้นก็ได้เรื่องว่า
ช่วงนี้ไม่มีโลมาหรอกเพราะว่าฝนตกน้ำไม่ดี
คำว่าน้ำไม่ดีไม่ใช่น้ำเสียนะ แต่ปลาเล็กปลาน้อยที่เป็นอาหารของโลมามันไม่มี
พอไม่มีอาหาร โลมาก็เลยไม่ว่ายน้ำเดินทางมาตรงนี้
ถ้าอยากเห็นก็ต้องใช้บริการของร้านอาหารที่จะพาลงเรือไปดูโลมาที่กลางทะเล
อย่างนั้นล่ะเห็นชัวร์
แต่ทุกผู้ทุกนางกินข้าวมาแล้วไง จะกินอีกมื้อเพื่อดูโลมาก็ดูเป็นการขี่ช้างจับตั๊กแตนไปหน่อย
คุยกันไปเดินกันมาก็เลยจบลงที่ศาลเจ้าพ่อมัจฉานุ
ไหว้ศาลไหว้เจ้ากันแล้ว ด้วยความเป็นคนไทยจริงๆ เสี่ยงเซียมซีกันสักหน่อยนะ
เสร็จกิจกรรมตรงนั้นแล้วก็ขึ้นรถเดินทางกันต่อดีกว่า


ย้อนกลับไปตามทางเดิม (ถ้าวิ่งมาจากเทียนทะเลก็คือ เจอแยกแล้วเลี้ยวซ้ายนั่นล่ะ)
วิ่งไปเรื่อยๆก็เริ่มเห็นไม้น้ำกร่อยกันแล้ว ดูอุ่นใจว่ามาไม่พลาดแน่
ระหว่างทางก็โทรแจ้งให้ลุงมารับ 
ร้านอาหารทะเลมีขึ้นอยู่เรื่อยๆ หันไปมองมาก็เจอร้านกาแฟเฉยเลย
ด้วยความเป็นนักท่องเที่ยวก็เลยแวะจิบกาแฟร้อนเย็นกันตามใจชอบ 
ไม่มีการเร่งรีบอยู่แล้วเพราะเรามาพักผ่อนนะ


ร้านกาแฟกับท่าเรือที่ลุงมารอรับอยู่ติดกันเฉยเลย
รู้สึกตัวแป๊บเดียวก็เห็นลุงมายืนรอรับละ
เอารถเข้าไปฝากจอดที่ท่าเรือ คืนละ 20 บาท
ซึ่งที่นี่เป็นปั๊มน้ำมันด้วย

ขนข้าวของที่เราซื้อมาล่วงหน้าขึ้นเรือกันสุดตัว
นี่แค่ไปค้างหนึ่งคืนเท่านั้นนะ
ไม่นานทุกนางก็อยู่บนเรือ มุ่งหน้าเข้าสู่ชุมชนแสนตอ


ชุนชนนี้ไม่ได้มีตอเป็นแสน
แต่เดิมทีแถวนี้เรียกว่า สันตอ
เนื่องมาจากตอไม้ที่ล้มอยู่เต็มคลองทับถมกันจนเป็นสัน 
เยอะขนาดเวลาน้ำลดตอก็ผุดกันให้เห็นจริงๆแบบไม่ต้องเล่นสุภาษิต
พอพูดกันไปเรียกกันมาก็กลายเป็นคำว่า แสนตอ อย่างทุกวันนี้



บ้านที่เราไปพักกันครั้งนี้เป็นของ ลุงสอน พึ่งสาย ซึ่งเป็นหัวหน้าชุมชน
และคู่ชีวิตชื่อ ป้าเอื้อน ซึ่งเป็นเหรัญญิกชุมชน
2 คนผัวเมียก็รับบทเจ้าของบ้านกันไป


ลุงบอกว่าแรกเริ่มเดิมทีก็ไม่ได้คิดว่าจะเปิดบ้านให้คนมานอนพัก
แต่พอมีนักท่องเที่ยวขอมากางเต็นท์นอนตอนมาเที่ยวชมธรรมชาติเพิ่มจำนวนมากขึ้นเรื่อยๆ
ก็เลยตัดสินใจเปิดบ้าน เริ่มทำโฮมสเตย์เมื่อกว่าสิบปีที่แล้วจนถึงวันนี้


โฮมสเตย์ของลุงสายนี่เรียกว่าใกล้ชิดธรรมชาติและสัมผัสกับความเป็นชาวบ้านมากจริงๆ
โดยรวมแล้วไม่มีอะไรทำเลย เรียกว่าต้องขอทำอาหารกินกันเอง เพื่อที่จะหาอะไรทำ
ป้าเอื้อนก็จัดเตรียมกุ้ง ปู และหอยแครง เตรียมไว้ให้ตามที่เราได้แจ้งไว้ก่อนเดินทาง
ทำไมต้องหอยแครง เพราะที่นี่เป็นสถานที่ท่องเที่ยวเชิงเกษตรแบบประมง
ลุงสอนทำฟาร์มขายหอยแครงมาเป็นอาชีพหลักมานานแล้ว
กรุณาอย่าดูถูกผู้ประกอบอาชีพแบบนี้
เพราะในปีนี้ลุงสอนหารายได้จากการขายหอยแครงเป็นเลขเจ็ดหลักแล้วนะ


แต่ถ้าอยากหาอะไรทำจริงๆแล้วล่ะก็ลุงสายก็มีเรือคายักมาเตรียมไว้ให้พายเล่น
หรือชูชีพที่เอาไว้ให้ว่ายน้ำคลองกันจ๋อมแจ๋ม
แต่สำหรับพวกเรา การพักผ่อนแบบไม่ทำอะไรเลยเป็นสิ่งที่ต้องการที่สุด
จุดเตาเผากุ้งดีกว่า

ตกเย็นก็อาบน้ำตุ่ม ดื่มน้ำฝน เรียกว่าใช้ห้องหับข้าวของแบบเดียวกันกับที่ลุงสายกินอยู่เลยล่ะ
มากินอยู่แบบชาวบ้านอย่างนี้อย่าคิดว่าจะต้องทำตัวลำบากตามกันไป
เพราะแน่นอนตามประสาคนเมืองผู้รักการปาร์ตี้ วิสกี้และเหล้ารัมก็ถูกเตรียมติดกระเป๋าไปอย่างพร้อมเพรียง
แต่ทุกอย่างก็ต้องกินดื่มกันอย่างเงียบๆเรียบร้อยเพราะสภาพแวดล้อมรอบข้างเงียบเชียบมาก
ความเป็นผู้ดีเกรงใจเจ้าของบ้านก็มีอย่างเต็มอก ทุกคนก็เลยเน้นไปทางพูดคุยกันมากกว่า


ตอนเช้าเสียงฝนเป็นนาฬิกาปลุกตามธรรมชาติ 
แต่ถ้ายังไม่ตื่นอีกล่ะก็เสียงหอยแครงที่ลุงขายให้กับคนที่เอาเรือมารับก็เป็นนาฬิกาปลุกอย่างดัง
เสียงเหมือนคนเอาหินมาลงตามไซท์ก่อสร้างยังไงยังงั้น


ทุกคนตื่นกันอย่างเต็มตา อากาศดีเต็มปอด


ได้ประสบการณ์นอนมุ้งอีกด้วย
หลายต่อหลายคนอาจจะยังไม่เคยกางมุ้งเลยด้วยซ้ำไป

มื้อเช้าก็ถูกเตรียมไว้แล้ว โกโก้ร้อนและกาแฟสำเร็จรูปแบบซองก็จัดไว้ให้
ข้าวต้มหมูกุ้งก็อยู่ในหม้อพร้อมกิน
อิ่มแล้วก็ล้างถ้วยล้างจานชามช้อนส้อมให้เรียบร้อย
เรียกว่าใครกินอะไรใช้อะไรก็ล้างอันนั้นน่ะล่ะ

สายมากแล้วก็เตรียมตัวลงเรือกลับบ้าน

การสวมบทบาทนักท่องเที่ยวในครั้งนี้เราได้เห็นสิ่งที่ไม่เคยเห็น เช่น ต้นตะบูน ออกลูกหน้าตาคล้ายกระท้อนแต่กินไม่ได้

ได้กินสิ่งที่ไม่เคยกิน เช่น ใบชะคราม หน้าตาเหมือนชะอมแต่ไม่มีกลิ่น ใบสดรสเหมือนใบมะขาม อมเปรี้ยวอมฝาด
ได้รู้สิ่งที่ไม่เคยรู้ เช่น คนที่มาพักไม่ได้มีแต่คนโตผู้ใหญ่เท่านั้น เด็กรุ่นใหม่ๆตามมหาวิทยาลัยต่างๆก็มาเหมือนกัน
ซึ่งไม่ใช่มหาลัยไกลปืนเที่ยงไก่กาบ้านนอกที่ไหนด้วย เพราะเป็นนิสิตจุฬา นักศึกษาธรรมศาสตร์กันทั้งนั้นที่มาพักอยู่ในโฮมสเตย์หลังนี้
นักท่องเที่ยวคนไทยยังไม่พอ ชาวต่างชาติจากออสเตรเลียหรือแม้แต่นอร์เวย์ก็เดินทางมาฝากผีฝากไข้ไกลถึงที่นี่เหมือนกัน

นับว่านี่เป็นการพักผ่อนท่องเที่ยวตามอัธยาศัยกับเพื่อนฝูงที่สนุกกายสบายใจใกล้ชิดติดธรรมชาติได้ดีเป็นที่สุดเลยทีเดียว





Tuesday 9 October 2012

เย็นตาโฟทรงเครื่อง อ. มัลลิการ์

เส้นใหญ่เย็นตาโฟทรงเครื่อง รสเผ็ดจัดยกกำลัง๓ ถามว่าอร่อยมั้ย ก็อร่อยดี รสชาติเข้มข้น แต่ยังงงว่า มันทรงเครื่องช่วงไหน ได้ข่าวว่าถ้าชั้นเดินไปซื้อที่ตลาด เครื่องที่ใส่มาแม่งก็เหมือนกัน ดีไม่ดีมีเกี๊ยวกรอบให้อีก อีกอย่าง จะเอาถ้วยน้ำซุปใส่ซ้อนมาทำไมในชามก๋วยเตี๋ยว แค่ลำพัง ชามก็ตื้นจะแย่อยู่ละ คลุกทีเส้นแทบจะไปกองอยู่บนพื้น. เข้าใจว่าเป็นดีไซน์การจัดจาน แต่จัดแล้วแดกลำบากก็ไม่ไหวนะ. ไม่มีไรทำ เข้ามาบ่นเฉยๆ

Monday 8 October 2012

Dior Accessories S/S 2013 - They Look Better Than The Looks!!

เครื่องประดับที่น่าจับตามอง

หลังจากปล่อยแฟชั่นโชว์ S/S 2013 มาแล้วอย่างสวยงามบ้างไม่สวยงามบ้าง
แบรนด์สุดสวยอย่าง

DIOR

ก็ถึงเวลาปล่อยโฉมหน้าของ Accessories ประจำฤดูใบไม้ผลิ/ ฤดูร้อน ของปีหน้าจนได้

โดยส่วนตัวแล้วขอบอกว่าเมื่อเวลาดูแยกชิ้นแล้วอยากได้ใจแทบขาด
อาจจะเป็นเพราะว่าไม่ชอบการ mix and match ของโชว์ที่ได้เห็น
หรือว่าทุกสิ่งอย่างมันดูละลานตามากจนมองข้ามเครื่องประดับเหล่านี้ไปก็ไม่รู้ได้







































ซึ่งสิ่งของเหล่านี้พอมาดูแยกเดี่ยวแล้วน่าจับจองเป็นเจ้าของที่สุด
อาจจะเป็นเพราะเรามองเห็นสิ่งของเหล่านี้ได้ชัดมากขึ้น
เลยเห็นความสวยเฉพาะตัวของมันง่ายยิ่งขึ้นล่ะมั้ง

แต่ไม่ใช่ว่าจะปากพล่อย 
แต่ถ้าสาวคนไหนมีเบี้ยน้อยหอยน้อยได้แต่คอยคนที่จะมาเป็นสปอนเซอร์ชีวิต
แล้วปัจจุบันก็ยังคอยอยู่ แต่อยากได้ของเหล่านี้มาครอบครองเหลือประมาณ
ก็รออีกแป๊บ เดี๋ยวแถวประตูน้ำก็มีมาให้ซื้อเองล่ะ